| ปรางค์ศรีเทพ |
ความเป็นมาของเมืองศรีเทพ
เมื่อพ.ศ. 2447
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์
จึงถือโอกาสสืบหาเมืองโบราณ พบว่าเมืองศรีเทพตั้งอยู่ในป่าแดงใกล้ภูเขาเมืองวิเชียรบุรี
พ.ศ. 2478 –
2480
ปีเดียวกับที่กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพ
ด๊อกเตอร์ควอริทซ์ เวลส์ ( Dr.Quaritch Wales ) ได้เดินทางเข้ามาศึกษาและเสนอความคิดเห็นไว้ในบทความเรื่อง
“The Exploration of
Sri Deva an
Ancient City in
Indoehina”
หนังสือ Indian Art
and Letter VO1.X
NO.11 ว่าเมืองศรีเทพเป็นเมืองของชาวอินเดียที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรฟูนัน โดยอ้างถึงหลักฐานศิลาจารึก หมายเลยที่ K978
ที่กล่าวถึงการประดิษฐานเทวรูป
พระอิศวรของพระเจ้าภววรมัน และจากการศึกษาลักษณะสถาปัตยกรรม เวลส์ เสนอว่า
ปรางค์ศรีเทพและปรางค์สองพี่น้องเป็นสถาปัตยกรรมแบบอินเดีย
และให้ข้อสันนิษฐานว่าปรางค์ใหญ่หรือปรางค์ศรีเทพนั้นเป็นสถาปัตยกรรมรุ่นเก่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 13
พ.ศ. 2505 หน่วยศิลปากรที่ 3 จังหวัดสุโขทัยทำการสำรวจขุดค้น
ขุดแต่งทำผังและประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบางแห่ง
พร้อมทั้งทำการสำรวจถ้ำเขาถมอรัตน์ด้วย
พ.ศ. 2509 หน่วยศิลปากรที่ 3 จังหวัดสุโขทัย ได้ทำการสำรวจสภาพตัวเมืองและนำ
ศิวลึงค์ ระฆังหิน
และเสาประดับกรอบประตูบางชิ้นไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง
จังหวัดสุโขทัย
พ.ศ. 2510 ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล
ทรงนำคณะนักศึกษาจากคณะโบราณคดีไปทำการขุดค้นที่ตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี
และเดินทางสำรวจไปที่เมืองศรีเทพ ทรงพบเศียรเทวรูป พระนารายณ์สมหมวกกรงกระบอก
(ซึ่งเป็นเศียรขององค์ที่สำเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาเมื่อ พ.ศ. 2447)
พ.ศ. 2517 หน่วยศิลปากรที่ 3
ได้เสนอโครงการทำการบูรณะขุดค้นเมืองโบราณแห่งนี้แต่ไม่สามารถดำเนินการได้
พ.ศ. 2518 ศาสตราจารย์ซอง บอสเซลิเยร์
(
Prof.Jean Boissliers )
ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับงานประติมากรรมของสกุลช่างศรีเทพว่าได้รับอิทธิพลของแบบศิลปะทวารวดี ศรีวิชัย
และเขมรผสมผสานกันแบบลพบุรี
ส่วนด้านโบราณสถานนั้นเห็นว่าเป็นสิ่งก่อสร้างของเขมรโบราณอย่างแน่นอน
มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 เท่านั้น
ทั้งนี้เพราะมีการย่อมุมอย่างมากโดยเฉพาะที่มุมนอกทั้ง 4 ด้าน
พ.ศ. 2521 หน่วยศิลปากรที่ 3 จังหวัดสุโขทัย ได้ทำการขุดหลุมทดสอบบริเวณเขาคลังใน 1 หลุม
และบริเวณสระปรางค์ 1 ปรางค์
พ.ศ. 2522 รศ.อนุวิทย์
เจริญศุภกุล ให้ได้ข้อคิดเห็นว่าปรางค์ศรีเทพ
และปรางค์สองพี่น้องควรจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 เท่านั้น เพราะเทคนิคการก่อสร้างเป็นแบบสกุลช่างเขมร
พ.ศ. 2526 โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
ได้ข้อสรุปว่า เมืองศรีเทพเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 11
ในระยะแรกมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรทวารถดีมากกว่าเจินลา
และการขุดค้นหลักฐานการสร้างเขาคลังในมาจนกระทั้งหลักฐานของสมัยพุทธศตวรรษที่
18
ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่ปรากฏหลักฐานพบว่าศรีเพทมีร่องรอยการอาศัยอย่างต่อเนื่องกันมามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงว่าเขาคลังในเป็นศาสนาสถานแรกเริ่ม
ส่วนปรางค์ศรีเทพถูกสร้างหลังประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 – 18
พ.ศ. 2527 – 2529 ทางกรมศิลปากรได้ทำการจัดตั้งเมืองศรีเทพให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
อนุญาตให้อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เข้ามาทำการศึกษาสำรวจได้
และปัจจุบันได้เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้
ยังมีนิยายหรือตำนานชาวบ้านเกี่ยวกับ เรื่องราวเมืองศรีเทพเล่าติดปากกันมาว่า ที่บนเขาใกล้เคียง มีฤๅษีสองตนสร้างกุฏิอยู่ที่ใกล้กัน ตนหนึ่งชื่อ “ตาไฟ” อีกตนหนึ่งชื่อ “ตาวัว” ฤๅษีตาไฟมีลูกศิษย์เป็นลูกท้าวพระยาเมืองนั้น วันหนึ่งฤๅษีตาไฟบอกกับลูกท้าวพระยาผู้เป็นลูกศิษย์ว่า น้ำในบ่อที่อยู่ใกล้กัน ใครได้อาบน้ำในบ่อก็จะตาย ถ้าได้เอาน้ำอีกบ่อมารดก็จะฟื้นกลับเป็นขึ้นมาใหม่ ลูกท้าวพระยาไม่เชื่อ พระฤๅษีตาไฟ จึงตกลงจะทดสอบให้ดูแต่เอาคำมั่นสัญญาจากลูกท้าวพระยาว่า เมื่อฤๅษีตาไฟต้องตายไปขาดความชื่อตรงไม่ทำตามสัญญา กลับหนีไปเมืองเสีย ไม่เอาน้ำมารดให้
กล่าวถึงฤๅษีตาวัวเคยไปมาหาสู่ กันกับฤๅษีตาไฟได้ผิดสังเกต ไม่เห็นฤๅษีตาไฟมาเยี่ยมเยือนก็ออกมาตามเมื่อผ่าน ไปบ่อน้ำที่ใครอาบก็ตายเห็นน้ำในบ่อเดือดก็รู้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่สุดเอาน้ำอีกบ่อนึ่งมารดซากศพฤๅษีตาไฟฟื้นขึ้นมา ฤๅษีตาไฟจึงเล่าเรื่องที่เป็นมาให้ฤๅษีตาวัวฟัง แล้วว่าจะต้องแก้แค้นลงโทษรุนแรงให้ได้ ฤๅษีตาไฟก็ไม่ชื่อฟัง เนรมิตเป็นวัวขึ้นหนึ่งตัว เอายาพิษร้ายบรรจุเข้าไว้ในท้องวัว แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินรอบ ๆ เมืองถึงเจ็ดวัน ทำเสียงร้องกึกก้องตลอดเวลา เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาประตูเมือง วัวก็ปราดวิ่งเข้าไปในประตูเมืองเสีย ครั้นถึงวันที่เจ็ด ท้าวพระเมืองนั้นก็รับสั่งให้เปิดประตูเมือง วัวก็ปราดวิ่งเข้าไปในประตูเมืองได้ ขณะนั้นท้องวัวก็ได้ระเบิดออกมา ไอพิษร้าย ไหลออกมาทำร้ายคนในเมืองตายหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น